อินโดรามา เวนเจอร์ส เสร็จสิ้นการเข้าซื้อสินทรัพย์เอทิลีนออกไซด์และโพรพิลีนออกไซด์
แบบบูรณาการของบริษัท Huntsman มูลค่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก บรรลุการเข้าซื้อธุรกิจออกไซด์แบบบูรณาการและอนุพันธ์ระดับโลกของบริษัท Huntsman ซึ่งรวมถึงฐานการผลิตสำคัญขนาดใหญ่บริเวณพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐอเมริกา ที่เมือง Port Neches รวมทั้งแห่งอื่นๆ ในเมือง Chocolate Bayou และเมือง Dayton ในรัฐเท็กซัส เมือง Ankleshwar ในประเทศอินเดีย และเมือง Botany ในประเทศออสเตรเลีย
กิจการที่เข้าซื้อในครั้งนี้ถือเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรและมีการเติบโต ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะตัวและที่ตั้งของกิจการที่โดดเด่น ท่ามกลางอุตสาหกรรมโอเลฟินส์ที่มีผู้ประกอบการจำนวนมาก เป็นกิจการที่มีสินทรัพย์การผลิตแบบบูรณาการ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานครบครันและโอกาสในการขยายตัวในอนาคต พื้นที่ของกิจการอยู่ใกล้กับผู้จัดหาสารตั้งต้นหลายรายบริเวณพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าเทียบเท่าเงินสด 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดของอินโดรามา เวนเจอร์ส ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีการจัดสรรสินทรัพย์ที่ลงทุนในธุรกิจอย่างลงตัวทั้งในธุรกิจพลาสติก เคมีภัณฑ์ และเส้นใย มูลค่าของธุรกรรมคิดเป็น EV/EBITDA 5.7 เท่า และคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคัญให้กับธุรกิจ Ethane/Propane ของไอวีแอลในปัจจุบัน ที่มีกำลังการผลิต 460 กิโลตันต่อปี และธุรกิจ EO/EG ที่มีกำลังการผลิต 550 กิโลตันต่อปี ซึ่งจะทำให้ไอวีแอลสามารถบูรณาการการผลิตตั้งแต่อีเทนไปจนถึง PET รวมทั้งเพิ่มอนุพันธ์ EO และ PO ที่สร้างผลกำไรสูงให้กับธุรกิจของไอวีแอล
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจออกไซด์และอนุพันธ์แบบบูรณาการ (Integrated Oxide and Derivatives: IOD) ของไอวีแอล ตามที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อครั้งประกาศกลยุทธ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562 รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มที่หลากหลายมากขึ้นในกลุ่มอนุพันธ์เอทิลีนออกไซด์ (Ethylene Oxide Derivatives: EOD) และอนุพันธ์โพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide (PO) Derivatives) ซึ่งล้วนเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่ง กิจการที่เข้าซื้อในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงทีมวิจัยพัฒนาและความสามารถเชิงเทคนิค รวมทั้งสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาประมาณ 900 รายการ อีกทั้งการเข้าไปดำเนินธุรกิจในออสเตรเลียของไอวีแอลจะช่วยกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ สินทรัพย์ของ Huntsman และไอวีแอล ได้รับการบริหารโดยบุคลากรที่มีความเป็นเลิศ ซึ่งจะร่วมกันหล่อหลอมความสำเร็จในระดับโลก และยกระดับความสามารถทางการเงินและทางธุรกิจของไอวีแอลเพื่อสร้างคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการนี้จะช่วยปูทางเข้าสู่ตลาดและอุตสาหกรรมพิเศษเฉพาะกลุ่ม รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 5 เคมีภัณฑ์เหล่านี้นำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านและดูแลส่วนบุคคล อาทิ ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาด แชมพู เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เชื้อเพลิง และน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งไอวีแอลมีความเข้าใจในตลาดของสินค้าเหล่านี้หลายรายการ จากการดำเนินธุรกิจเส้นใยและ PET นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในธุรกิจใหม่และน่าตื่นเต้นอย่างเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร อาทิ สารกำจัดวัชพืช และโพลีเอสเตอร์เรซินชนิดไม่อิ่มตัวสำหรับเคลือบผิววัสดุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในน้ำ
ไอวีแอลมุ่งมั่นที่จะดึงศักยภาพจากการเกื้อหนุนทางธุรกิจและโอกาสต่างๆ ให้ได้มากที่สุด อาทิ การรวมห่วงโซ่อุปทานและการจัดหาร่วมกัน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่จะลดลงด้วย การทำงานร่วมกันนี้จะสามารถทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2564 นอกจากนี้ งบประมาณลงทุนที่วางแผนไว้สำหรับธุรกิจสารลดแรงตึงผิวมูลค่าเพิ่มสูงจะค่อยๆ เพิ่ม EBITDA ขึ้นอีก 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2565
การทำธุรกรรมนี้ใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดภายในและการจัดหาเงินกู้โดยไม่กระทบส่วนของผู้ถือหุ้น
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้บรรลุข้อตกลงอันสำคัญยิ่งนี้กับนักธุรกิจคนสำคัญอย่าง Peter Huntsman ซึ่งจะทำให้เรารักษาการเติบโตในระดับสูง และเพิ่มสถานะความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่เราเข้าไปมีบทบาท ผมเล็งเห็นว่านี่คือการลงทุนที่มีกลยุทธ์ที่สุดในช่วงเวลาที่เราตั้งเป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการก้าวข้ามทศวรรษ และเป็นช่วงเวลาที่เราเตรียมตัวสู่การเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ระดับโลก ที่นำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ด้วยการบูรณาการที่มากขึ้นและรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผมขอต้อนรับเพื่อนร่วมงานใหม่ของเราเข้าสู่ครอบครัวไอวีแอลด้วยใจจริง และผมมั่นใจว่าเราจะร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญนี้ให้เกิดคุณค่ายิ่งต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ลดความผันผวนของผลกำไร และหนุนโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้ในอนาคต”