จากประเมินจำนวนประชากรโลกในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 พันล้านคน จากปัจจุบัน 7.5 พันล้านคน ส่งผลให้ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ เช่น อาหารที่บริโภคในปริมาณน้อย แต่ให้พลังงานและโปรตีนเพียงพอกับความต้องการ หรือ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จะเข้ามาแทนที่อาหารในรูปแบบเดิม
ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโตอย่างมากจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย ด้วยจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 เป็นชาวเอเชีย จึงเป็นโอกาสในการผลิตสินค้าและบริการอาหารรูปแบบใหม่ๆ สำหรับรองรับประชากรเหล่านี้ โดยจะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.5 หรือประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรโลก ซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพสมวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อช่วยชะลอวัย ทั้งนี้ร้อยละ 60 ของคนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานและการรับประทานอาหารอาหารนอกบ้าน จึงได้รับความนิยมอย่างมาก โดยผู้หญิงจะมีอิทธิพลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงยุคใหม่ทำงานมากขึ้น จึงมีรายได้สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ด้วยตนเอง ทั้งเพื่อตนเอง คนรัก และครอบครัว
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ(Workshop) สร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ หรือ New Food Warrior 2019 ภายใต้โครงการยกระดับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ประจำปีงบประมาณ 2562 ผลักดัน SMEs จำนวน 200 ราย หวังยกระดับองค์ความรู้ในทุกมิติสู่อุตสาหกรรม 4.0 เน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันยุคดิจิทัล สร้างเครือข่ายพันธมิตร มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคต(Future Food)ของอาเซียน
นายอิทธิชัย ยศศรี รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) กล่าวในพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ(Workshop) เรื่อง “การเตรียมพร้อมนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (New Food Warrior 2019)” ซึ่งเป็นกิจกรรม Kick-off ใน “โครงการยกระดับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร โดยนำมาตรฐาน ผลิตภาพ และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการเพิ่มขีดความสามารถนักรบอุตสาหกรรมพันธุ์ใหม่” ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ได้ร่วมมือกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นในวันที่ 5 – 6 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ ว่าถือเป็นกิจกรรมในรุ่นที่ 1 สำหรับรุ่นที่ 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 18 – 19 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ ส่วนรุ่นที่ 3 จะจัดขึ้นในวันที่ 26 – 27 มีนาคม ที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้ารับการอบรมรวมกันไม่น้อยกว่า 200 ราย หรือเฉลี่ยรุ่นละประมาณ 70 ราย
“ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมอาหารของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคต (Future Food) ของอาเซียน และติด 1 ใน 10 ของผู้ส่งออกอาหารของโลกในปี 2565 ด้วยการยกระดับองค์ความรู้ในทุกมิติโดยเน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้บุคลากรในอุตสาหกรรมอาหาร ได้เรียนรู้และปรับตัวให้สอดคล้องกับการแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง และเพื่อกระตุ้นผู้ประกอบการให้เกิดการสร้างเครือข่ายพันธมิตร”
ทั้งนี้แนวทางการพัฒนานักรบอุตสาหกรรมอาหารมีหลากหลายด้าน เช่น การให้คำปรึกษาเชิงลึก In-house Training กิจกรรมอบรมสัมมนา การทำ Workshop การเรียนรู้จากกรณีศึกษา และการเยี่ยมชมโรงงานเป็นต้น สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นในปีนี้ ยังมีอีก 2 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนานักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ จำแนกออกเป็น 5 หลักสูตร ซึ่งแต่ละหลักสูตรจะเหมาะสำหรับการพัฒนานักรบอุตสาหกรรมอาหารที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม และกิจกรรมการให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งจะคัดเลือกผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก เรียกว่า กลุ่มอาหารอนาคต (Future food) ประกอบด้วย 4 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ (Health Food / Functional food) กลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอินทรีย์ (Organics) กลุ่มผู้ผลิตอาหารทางการแพทย์ (Medical food) และกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัดสมุนไพร (Food Supplementary & Herb Extract) เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก โดยเน้นด้านการใช้เครื่องมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการยกระดับผลิตภาพ (Productivity) ให้กับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ
นางนิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารจึงต้องผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจึงจะประสบความสำเร็จ การเลือกใช้เทคโนโลยีการแปรรูปอาหารมีส่วนสำคัญในการทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติดีและมีอายุการเก็บรักษาที่เหมาะสม ที่น่าสนใจและเป็นแนวโน้มในอนาคต อาทิ เทคโนโลยีการแปรรูปอาหารโดยใช้ความดันสูง เทคโนโลยีการฆ่าเชื้อโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง เทคโนโลยีการปรับคุณภาพของเนื้อสัตว์โดยใช้คลื่นความดันเชิงกล (Shockwave) ทำให้เนื้อสัตว์นุ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เป็นต้น ทั้งนี้ต้องเคร่งครัดเรื่องมาตรฐานในการผลิตและแปรรูปอาหาร ที่สำคัญคือ มาตรฐานความปลอดภัยอาหาร เช่น GMP , HACCP และ HALAL เป็นต้น
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือการนำเครื่องจักรอัตโนมัติเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต แปรรูป และจำหน่ายสินค้าจะทำให้ธุรกิจอาหารเติบโต และลดความเสี่ยงที่เกิดจากภัยธรรมชาติ รวมถึงลดความผิดพลาดของพนักงานลง การทำธุรกิจอาหารง่ายขึ้น ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด เพียงแต่หาพันธมิตรทางธุรกิจที่เหมาะสมเข้ามาช่วย”