
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 นาย สุรพัฒน์ หมื่นศรีรัชต์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ชัยภูมิ ที่ตั้งสำนักงานและแปลงสาธิตการปลูกเคลและผักสลัด ที่ 249 ม.3 ต.เจาทอง อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ โทร.0955789191 ได้ทำการต้อนรับคณะพยาบาล โรงพยาบาลชัยภูมิ เข้าเยี่ยมชมและเรียนรู้ การปลูกผักปลอดสาร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) รวมทั้งได้ทดลองชิมน้ำสมูทตี้จากเคล และทดลองชิมผักสลัด อย่างเอร็ดอร่อย รวมทั้งนำผักติดกลับบ้านไปทานกัน

ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ชัยภูมิ นอกจากส่งเสริมการใช้ การปลูกพืชที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ขี้ไก่อัดเม็ดแล้ว วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ชัยภูมิ เป็นเจ้าของและนวัตรกรรม หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้จากแหล่งน้ำพุร้อน เขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ทนความร้อนสูงที่ระดับอุณหภูมิ 55-85 องศาเซลเซียส ต่างจากกลุ่ม EM ทั่วๆไปที่หมักจากกากน้ำตาล ที่ขยายและแตกตัวได้ในระดับอุณหภูมิต่ำ ไม่เกิน 48 องศาเซลเวียส ก็จะตายหรือลดปริมาณลงไปเรื่อยเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง การที่จะฟื้นฟูดินในการย่อยสลายในแต่ละฤดูกาลการเพาะปลูก จำเป็นต้องเพิ่ม ประสิทธิภาพทุกครั้งเป็นกาลสูญเปล่ากับเวลาและค่าใช้จ่ายในแต่ละฤดูกาลเพาะปลูก ต่างจากจุลินทรีย์ของเราที่สามารถคงชีพชีวิตจุลินทรีย์และขยาย
แตกตัวในปรมาณที่เพิ่มขึ้น นำมาใช้หมักเป็นหัวเชื้อเริ่มต้น เพิ่มจุลินทรีย์และเชื้อราที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ใช้ในการปรับสภาพดิน ปรับสภาพแหล่งน้ำ ทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก เตรียมดิน ปรับปรุงดิน และปรับปรุงแหล่งน้ำได้ดี ตรึงไนโตรเจนไดทุกสภาวะอากาศ เหมาะกับพืชทุกชนิด ที่สำคัญยังช่วยพืช
สังเคราะห์เอาสารพิษที่ตกค้างในดิน ในพืชออก เป็นการลดปริมาณยาฆ่าแมลง และสารเคมีในพืช ได้อบ่างปลอดภัยต่อผู้บริโภค

อีกหน้าที่หลักอีกอย่างของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ชัยภูมิ คือการสนับสนุนและส่งเสริมมาชิกให้นำนวัตรกรรมปุ๋ยอินทรีย์ และจุลินทรีย์ มาปรับและปรุงดิน หมักดินปลูกผักสลัดและเคล รวมทั้งพืชเศรษฐกิจอื่นๆ แบบออร์แกนิค เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรและสมาชิกโดยการ ชักชวนมาอบรม เข้าใจด้วยสอนวิธีการปลูก ดูแลการเติบโตและเก็บเกี่ยว นำออกสู่ตลาดให้กับสมาชิกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายและเชื่อมโยงการใช้ วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นศูนย์รวมในการบริหารจัดการแบบยั่งยืนไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ รวมทั้งพยายามหาการสนับสนุนจากหน่วย
งานต่างๆ ทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดการคล่องตัวและมีรายได้ต่อสมาชิกแบบยั่งยืน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนตั้งแต่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนฯ คือ
• สมาชิกมีการไปมาหาสู่กระชับความสัมพันธ์กันแน่นแคว้นมากขึ้น มีมิตรภาพต่อกัน
• สมัครสมานสามัคคี มีกิจกรรมเยี่ยมเยือนร่วมกันมากขึ้น
• เสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในส่วนกิจกรรมที่ทำร่วมกันแบบไม่มีสิ้นสุด
• ลดการพึ่งพาการใช้ปุ๋ยและสารเคมี นำไปประยุกต์ใช้กับพืชชนิดอื่นๆต่อเนื่อง ลดค่าใช้จ่าย
• ดึงกลุ่มที่ติดยาเสพติด ว่างงานเข้ามาร่วมกิจกรรมได้ พร้อมสร้างรายได้อีกทางให้เกิดความยั่งยืน
• พัฒนาเป็นชุมชนเกษตรต้นแบบให้กับกลุ่มอื่นๆ
• ลดภาวะการเสี่ยงการบริโภคพืชผักที่ปนเปื้อนสารเคมี ลดการไปหาหมอจากภาวะเจ็บป่วยจากการสะสมสารเคมีในร่างกาย
• สร้างความสุขให้กับสมาชิกตามอัตภาพความเป็นอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาและเป็นภาระของสังคม

ทั้งหมดคือสิ่งที่เป็นประจักษ์ว่าในอนาคตต่อไปภาคหน้า ชุมชนเกษตร”โรงเรือนสุขภาพดี”จะมีศักยภาพเพิ่มขึ้นทั้งทางด้านคุณภาพของผลผลิต และรายได้ และคุณภาพของสมาชิกชุมชนที่เป็นแหล่งอาหารอีกทางหนึ่งของคนรักสุขภาพและคนที่ต้องการมีสุขภาพดี หากมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามา ประคับประคองให้ชุมชนนี้ ได้เข้มแข็งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ