สมาคมประกันวินาศภัยไทย พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยด้วยนวัตกรรม ก้าวสู่ความยั่งยืนในโลกใหม่

832

สมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดงานขอบคุณสื่อมวลชนประจำปี 2568 พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผ่านกิจกรรม Executive Talk โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรมสู่การเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์และทิศทางของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยมีผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยในสาขาต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย ในหลากหลายมิติ อาทิ การพัฒนาโมเดลประกันภัยเพื่อรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคธุรกิจประกันวินาศภัย การขยายตลาดประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ภายใต้บริบทของสงครามการค้า รวมถึงการพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืนและสามารถรองรับความต้องการของประชาชนในระยะยาว เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคใหม่ ด้วยการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างวันที่ 20–21 กันยายน 2568 ณ โรงแรม Mandarin Eastville พัทยา จังหวัดชลบุรี

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้บรรยายในเวที Executive Talk ภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัย ท่ามกลางบริบทของ “โลกใหม่” ซึ่งไม่ใช่เพียงยุคหลังการระบาดของโควิด-19 หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สภาพภูมิอากาศ และพฤติกรรมของผู้บริโภค

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า โลกในยุคปัจจุบันคือยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันภัยจึงต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงรุกในทุกด้าน ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการทางธุรกิจ ไปจนถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อบริบทดังกล่าว โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมีความคาดหวังว่าทุกขั้นตอนของบริการต้องสามารถดำเนินการผ่านสมาร์ตโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งการซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการติดต่อบริการ

ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech ซึ่งอาจไม่มีสำนักงานแบบดั้งเดิม สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ ความสามารถในการเข้าใจความเสี่ยงและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกปี เช่น น้ำท่วม พายุ ภัยแล้ง และไฟป่า ภาคธุรกิจประกันภัยจึงจำเป็นต้องปรับปรุงโมเดลการประเมินความเสี่ยงใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนา Climate Risk Insurance และระบบบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงพื้นที่ เช่น Flood Zoning ที่สามารถนำมาใช้ในการกำหนดเบี้ยประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครอง และการบริหารพอร์ตโฟลิโอของบริษัทประกันภัยได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อประเด็น ESG (Environment, Social, Governance) และความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นข้อกำหนดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ บริษัทประกันภัยต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และต้องคำนึงถึงผลกระทบที่ผลิตภัณฑ์และบริการมีต่อโลกอย่างรอบด้าน