
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย จัดสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าเมย์แบงก์และผู้สนใจ ร่วมวิเคราะห์โอกาสการลงทุนบนเวทีโลก พร้อมเปิดมุมมองเชิงกลยุทธ์แบบ “หมัดต่อหมัด” เทียบความน่าสนใจของหุ้นสหรัฐและหุ้นจีน บนสมรภูมิการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและสหรัฐ ภายในงาน พบกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ “เซียนมี่” ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย เจ้าของพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลักพันล้านบาท และ ธนัชชา เชษฐโชติศักดิ์ นักวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศจากเมย์แบงก์ ที่จะมาแบ่งปันมุมมองเชิงลึกในแต่ละธุรกิจศักยภาพ เพื่อช่วยให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสและสร้างความมั่นใจ ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยไม่แน่นอน
ตลาดหุ้นสหรัฐ – จีนวันนี้ เหมือนอินทรีที่แข็งแรงกับมังกรที่โตไว

ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญเริ่มต้นด้วยการฉายภาพรวมให้เห็นถึงโอกาสของการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน สำหรับในฝั่งสหรัฐฯ ถือว่าเป็นจังหวะดีของการลงทุน เพราะได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือโอกาสจากหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง นอกเหนือจากกลุ่ม Magnificent 7 (Apple, Amazon, Alphabet, Microsoft, Meta, Nvidia, Tesla) ยังมีกลุ่มรองที่น่าสนใจ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ไบโอเทคโนโลยี, กลุ่มซอฟต์แวร์ และ ความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีทิศทางนโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย และมีแนวโน้มว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมถูกลง ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth stocks) รวมถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเพื่อวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ ดังนั้น เมื่อดอกเบี้ยลดลง บริษัทเหล่านี้ย่อมมีโอกาสเพิ่มกำไรได้มากขึ้น นอกจากนี้ หากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยเฉพาะผ่าน DR ซึ่งนักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งจากราคาหุ้นต่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน
ในฝั่งตลาดหุ้นจีน ก็มีโอกาสมากมายที่ซ่อนอยู่เช่นกัน จะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันยังมีระดับราคาที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน ที่มุ่งผลักดันให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวจากเมืองระดับ Tier 1 ไปสู่เมือง Tier 2 และ Tier 3 ส่งผลให้ประชากรในเมืองรองเริ่มมีรายได้และกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เสริมศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จีนยังมีบริษัทชั้นนำที่มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น H World หนึ่งในกลุ่มโรงแรมรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน, Xiaomi บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้, และ CATL ผู้นำระดับโลกด้านแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และยังเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของจีน
อีกหนึ่งแต้มต่อของตลาดจีนวันนี้ คือ มีกำลังซื้อสำคัญจากในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่หันมาภาคภูมิใจในความเป็นจีนและนิยมใช้สินค้าจีนมากขึ้น รวมถึงแนวคิด Value For Money ของลูกค้าที่ให้คุณค่ากับคุ้มค่าเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้สินค้าของจีนในปัจจุบัน เช่น Popmart หรือ Xiaomi มีคุณภาพโดดเด่น ในราคาที่เข้าถึงได้ เมื่อเทียบกับผู้เล่นในตลาด
“ผมมองว่าตลาดสหรัฐวันนี้ เหมือน “แม่หมาที่แข็งแรง” แต่อาจจะเติบโตไม่มาก ส่วนจีนเปรียบเหมือน “ลูกหมา” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นจีนยังมี P/E และ Valuation ที่ต่ำ แต่ยังต้องจับตานโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนเพียงบางธุรกิจ และมีการควบคุมบางธุรกิจที่เกี่ยวกับสวัสดิการและคนหมู่มาก”
แม้ภาพรวมของการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯและจีน จะมีแรงหนุนสำคัญ แต่เพื่อเจาะลึกโอกาสการลงทุนให้นักลงทุนทั้งสองผู้เชี่ยวชาญที่เป็นตัวแทนจากตลาดสหรัฐและจีน ยังมีการนำหุ้นจากฝั่งสหรัฐและจีนที่น่าสนใจ มาเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดพอร์ตการลงทุน ที่เหมาะกับการลงทุนในระยะสั้น กลาง และยาว
NVIDIA VS Xiaomi ตอบโจทย์สายชอบลงทุนระยะสั้น (3 เดือน ถึง 1 ปี)
เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีเจ้าของชิป AI รายใหญ่ ก่อตั้งในปี 1993 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ) สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะในวงการเกมมิ่ง ก่อนจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก มีส่วนแบ่งตลาดสำคัญในด้านการสร้างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Data Center ปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 92% ในตลาดการ์ดจอ GPU มีลูกค้าขนาดใหญ่ทั้งเอกชนและรัฐบาลสหรัฐ อีกทั้ง ยังได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ส่งออกชิป AI ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หลังจากที่ UAE ได้เสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าที่ทัดเทียมกัน นอกจากนี้ NVIDIA ยังมีความได้เปรียบจากความสามารถในการกระจายการเติบโตจากหลากหลายอุตสาหกรรม และสร้างการเติบโตต่อเนื่องผ่านการเข้าซื้อกิจการและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
มาที่ฝั่งจีน แนะนำ XIAOMI ก่อตั้งในปี 2010 ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย มีจุดแข็ง คือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สามารถตั้งราคาเชิงรุกและแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก ทั้งในจีน อินเดีย ยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ
“จีนอาจจะไม่ได้เก่งในการคิดค้นจาก 0 ไป 1 แต่เชี่ยวชาญในการต่อยอดเทคโนโลยีจาก 1 ไป 100 หรือ 1000 Xiaomi คือ หนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการเป็นผู้เล่นสำคัญในการสร้างระบบนิเวศ IoT ที่แข็งแกร่ง เชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกอย่างในบ้าน จนต่อยอดจากผู้ผลิตมือถือ แกดเจ็ตต่างๆ ไปสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในจีน อีกทั้งยังสามารถบริหารต้นทุน (cost) และ อัตรากำไร (margin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ จนคาดว่า ในอนาคตสัดส่วนรายได้ของรถไฟฟ้าจะเติบโตมหาศาล”
CrowdStrike Holdings VS Tencent ตอบโจทย์นักลงทุนที่เน้นลงทุน 1-3 ปี
เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ CrowdStrike Holdings ผู้นำระดับโลกในตลาดความปลอดภัยไซเบอร์ ก่อตั้งในปี 2011 ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบ Cloud-Based ปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint) จัดการ workload บนคลาวด์และข้อมูลต่างๆ ปกป้องตัวตนของผู้ใช้งาน อีกทั้งยังสามารถนำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ใช้โมเดลธุรกิจแบบ SaaS (Software as a Service) มีรายได้หลักมาจากค่าสมาชิก
“นอกจากโอกาสของธุรกิจที่น่าจะเติบโตไปกับเทรนด์ดิจิทัลที่ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จากเหตุการณ์ระบบอัปเดตของ CrowdStrike ที่ส่งผลกระทบต่อระบบ Windows ทั่วโลกในปี 2024 ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงในระยะสั้น แต่หลังจากบริษัทเร่งปรับปรุงกระบวนการอัปเดต และเปิดทางให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเวลาในการอัปเดตได้ ราคาหุ้นของ CrowdStrike ก็ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทในระยะยาวอีกด้วย”
มาถึงคู่ท้าชิงฝั่งจีน แนะนำ Tencent บริษัทโฮลดิ้งที่ดำเนินธุรกิจหลักในจีน ก่อตั้งปี 1998 ให้บริการครอบคลุมหลายด้าน เป็นผู้นำตลาดเกมทั้งในจีนและระดับโลก มีการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Cloud Computing และ Big Data เพื่อปรับใช้ในทุกธุรกิจ เชื่อมต่อบริการต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม WeChat และ QQ ผสานระบบการชำระเงิน เกม และโฆษณาไว้ในระบบเดียว อีกทั้งยังมีธุรกิจครอบคลุมหลายด้าน (เกม, social media, Fintech, โฆษณา, Cloud) มีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจเดียว
“หุ้นที่เหมาะกับการลงทุนสัก 1-3 ปี ผมมองว่าต้องเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งและมีสภาพการแข่งขันที่จบแล้ว สำหรับ Tencent ด้วย Ecosystem ที่แข็งแกร่งครอบคลุมชีวิตคนจีนกว่าพันล้านคน ตั้งแต่การสื่อสาร การซื้อของ การเล่นเกม ไปจนถึงการลงทุน ยังไม่รวมศักยภาพของเทคโนโลยีที่ Tencent กำลังพัฒนา โดยเฉพาะเรื่อง AI ที่เชื่อว่าในอนาคต Tencent ซึ่งปัจจุบันยังมีการจำกัดโฆษณาใน WeChat ให้แสดงเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน ซึ่งแตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจากตะวันตก แต่หากในอนาคตสามารถนำ AI มาใช้เลือกโฆษณาให้แม่นยำขึ้น รายได้ส่วนโฆษณาสามารถโตได้อีก 10 เท่า ขณะที่อุตสาหกรรมเกมแห่งอนาคต AI จะเข้ามาเปลี่ยนสมรภูมิเกมที่เชื่อว่าในอนาคตจะมีผู้เล่นมากขึ้น ให้ยิ่งสนุกและท้าทายขึ้นอย่างแน่นอน”
Eli Lilly VS Contemporary Amperex Technology สองหุ้นจากสองขั้วธุรกิจ ซื้อเก็บในพอร์ตยาวๆ 3 ปีขึ้นไป
เริ่มจากฝั่งสหรัฐ แนะนำ Eli Lilly and Company บริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 1876 เชี่ยวชาญในการค้นคว้า พัฒนา ผลิต และทำการตลาดผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีสินค้าจำหน่ายในกว่า 125 ประเทศทั่วโลก จุดเด่นของ Eli Lilly คือ มีความเชี่ยวชาญด้านยาเฉพาะทาง เช่น เบาหวาน ภาวะอ้วน มะเร็ง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งยังมีการพัฒนายาเฉพาะทางและการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง (Precision Medicine) รวมถึงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในงานวิจัยและพัฒนา (R&D)
“ปัจจุบัน ตลาดเบาหวานทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 680,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2028 ซึ่งถือเป็นโอกาสของ Eli Lilly and Company ที่นอกจากปัจจุบันจะมียาเบาหวานแบบฉีดเป็นยาเรือธง ยังกำลังพัฒนายา Orforglipron ซึ่งเป็นยาเบาหวานแบบรับประทาน อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก FDA ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท นอกจากนี้ Eli Lilly and Company ยังมีการลงทุนกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สร้างโรงงาน 5 แห่งในสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง จากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะเก็บภาษียาที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ”
ขณะที่ฝั่งจีน แนะนำ Contemporary Amperex Technology Co. Limited (CATL) ผู้นำตลาดแบตเตอรี่ EV ทั่วโลก ครองอันดับ 1 ของโลกด้วย Market Share ประมาณ 37.9% ก่อตั้งในปี 2011 ดำเนินธุรกิจวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับพาหนะไฟฟ้าหลากหลายประเภท ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ เช่น Energy Storage System (ESS) และ Battery-Swap ซึ่งเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุตสาหกรรม EV ระดับโลก
ด้วยจุดแข็งของ CATL ที่ถูกวางรากฐานและเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องคนและเทคโนโลยีมาหลายปี ทำให้เป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบ และคู่แข่งยากจะตามทันในระยะยาว เพราะมีการควบคุมต้นทางการผลิต (เหมืองลิเธียม/โคบอลต์) และมีสิทธิบัตรจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในด้านตลาดพลังงานสีเขียว CATL ยังเป็นผู้นำในตลาด Energy Storage System (ESS) หรือแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อระบบพลังงานหมุนเวียน และคาดว่าตลาดนี้จะกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของอนาคต และยังจะได้รับอานิสงส์จากตลาดใหม่ ๆ เช่น Humanoid Robots ที่ต้องการแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานตลอดวัน จากปัจจุบันที่ต้องเปลี่ยนทุก 1-2 ชั่วโมง
ทั้งหมดนี้ คือ ตัวอย่าง 6 หุ้นน่าสนใจจากฝั่งสหรัฐและจีน ที่สองผู้เชี่ยวชาญนำมาขึ้นสังเวียน วัดกันแบบหมัดต่อหมัด อย่างไรก็ตาม ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยปัจจุบันนักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศได้หลากหลายช่องทาง อาทิ การลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง (Offshore) การลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ และ การลงทุน DR หรือ Depositary Receipt เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (เช่น หุ้นหรือ ETF) ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรง
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเปิดรับโอกาสจากหุ้นต่างประเทศ หรือเป็นนักลงทุนที่มองหากลยุทธ์กระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เมย์แบงก์พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดในการแนะนำการลงทุน วางแผนบริหารเงินอย่างมั่นคงด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมอัพเดตข่าวสารและแบ่งปันมุมมองการวิเคราะห์ที่เจาะลึก มีช่องทางการลงทุนที่สะดวกผ่านแอป Maybank Invest (MBI) เพื่อพาทุกคนไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งใจ