การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคไปกับอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค (Wearable Devices) ทั่วโลกปีนี้จะมีมูลค่ารวม 81.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18.1% จาก 69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่ผ่านมา โดยการทำงานระยะไกลและความใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้คนช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็น 2 ปัจจัยสำคัญเร่งผลักดันการเติบโตของตลาด
นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การแนะนำมาตรการด้านสุขภาพเพื่อเฝ้าติดตามอาการโควิด-19 ด้วยตัวเอง และแนวโน้มความสนใจด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลกช่วงล็อกดาวน์เป็นโอกาสสำคัญของตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค โดยอุปกรณ์หูฟังและสมาร์ทวอทช์กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้บริโภคใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการทำงานระยะไกล, ออกกำลังกาย, ติดตามข้อมูลสุขภาพและอื่น ๆ”
ในปี 2563 มีการใช้จ่ายไปกับอุปกรณ์หูฟังเพิ่มขึ้น 124% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 32.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดการณ์ปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 39.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูตารางที่1) โดยการเติบโตอย่างมหาศาลนี้เกิดจากพนักงานที่ต้องทำงานนอกออฟฟิศอัพเกรดหูฟังเพื่อสื่อสารผ่านวิดีโอคอลและผู้บริโภคซื้อหูฟังเพื่อใช้กับสมาร์ทโฟนของตน
ตารางที่ 1 มูลค่าการใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ของผู้บริโภคทั่วโลกตามประเภทในปี 2562 ถึง 2565 (หน่วย:ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ประเภทอุปกรณ์ 2562 2563 2564 2565สมาร์ทวอทช์ (Smartwatch) 18,501 21,758 25,827 31,337 สายนาฬิการัดข้อมือ (Wristband) 5,101 4,987 4,906 4,477 หูฟัง (Ear-worn) 14,583 32,724 39,220 44,160จอแสดงผลแบบสวมศีรษะ...
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ชี้โอกาสส่งออกสินค้าของทานเล่นที่ทำด้วยผลไม้เจาะตลาดสหรัฐฯ หลังผลวิจัยพบผู้บริโภคให้ความสำคัญและนิยมรับประทานเพิ่มมากขึ้น คาดขยายตัวแรงจนถึงปี 69
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานผลการวิจัยตลาดขนมขบเคี้ยวและของทานเล่นจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก สหรัฐฯ ที่ทำการศึกษาวิจัยโดยบริษัท Global Market Insights Inc. ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านการตลาดในสหรัฐฯ พบว่าตลาดสินค้าของทานเล่นที่ทำด้วยผลไม้ (Fruit Snacks) ในตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือ จะมีมูลค่าถึง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2569 และอัตราการเติบโตต่อปีร้อยละ 3.6 ในช่วงระหว่างปี 2563-2569 จึงเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกของทานเล่นที่ทำด้วยผลไม้ของไทย เพราะเป็นประเทศที่ผลิตผลไม้เมืองร้อนที่สำคัญของโลก หากวางแผนการผลิตได้ตรงตามความต้องการของตลาด ก็จะทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกผลไม้แปรรูปไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมรับประทาน จะเน้นของทานเล่นชนิดที่ทำจากผลไม้ชนิดที่มีไฟเบอร์สูง ให้แคลอรี่ต่ำ มีปริมาณน้ำตาลน้อย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ คาดว่าความนิยมจะขยายตัวไปจนถึงปี 2569
ผลิตภัณฑ์ของทานเล่นที่ทำด้วยผลไม้ที่จำหน่ายในตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือมีหลายรูปแบบ แยกออกเป็น 2...
การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ นับเป็นข่าวร้ายต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังอยู่ในระยะของการเริ่มฟื้นตัว ขณะที่แม้ทางการจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการระบาดระลอกใหม่ แต่ยังไม่ได้มีข้อจำกัดห้ามเดินทางข้ามจังหวัดก็ตามอย่างไรก็ดี จากผลสำรวจ พบว่าคนกรุงเทพฯ กว่า 54.8% ไม่มีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2564 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างประมาณ 30.9% ยังมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ซึ่งจะมีทั้งการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนและการเดินทางไปเช้า-เย็นกลับ อย่างไรก็ดีแผนการท่องเที่ยวยังต้องขึ้นอยู่กับพัฒนาการการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะมีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวจริงของผู้ตอบแบบสอบถาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่คาดว่าจะทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้จากคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน (ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,850 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่สูญเสียไปประมาณ 58.4% ของรายได้ไทยเที่ยวไทยในช่วงเวลาปกติ 4 วัน ที่ไม่ได้เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวคงจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ที่ถูกต้อง เพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้าที่จะมาใช้บริการหรือมีแผนที่จะเดินทางในช่วงนี้ รวมถึงการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะมาใช้บริการ
นอกจากเรา “เสียภาษีทางตรง” จากการที่กรมสรรพากรเรียกเก็บทุกปีอย่าง “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” หรือ “ภาษีนิติบุคคล” แล้ว ยังมี “เสียภาษีทางอ้อม” ที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้บริโภคเมื่อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specification Business Tax) และอากรแสตมป์ (Stamp Duty) โดยข้อมูลการเก็บภาษีจากกรมสรรพากรที่รวบรวมโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ระบุในปี 2562 “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” คือภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บสูงที่สุดถึง 6 แสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าการใช้จ่ายแต่ละวันของเราล้วนข้องเกี่ยวกับการเสียภาษี ตั้งแต่เราลืมตาตื่นหยิบยาสีฟันหลอดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อคืน เติมน้ำมันรถในปั้มข้างบ้านหรือซื้อตั๋วโดยสารรถประจำทางเพื่อไปทำงานต่อ จ่ายเงินซื้ออาหารจานด่วนหลากหลายมื้อตามร้านอาหาร ไปจนถึงการจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต และค่าช็อปปิ้งใน Supermarket รวมถึงการช็อปในโลกออนไลน์
ข้อมูลจาก ธปท. ระบุ ณ เดือนกันยายน 2563 คนไทยมีเงินฝากเฉลี่ยต่อบัญชีเพียง 4,754 บาทเท่านั้น! สวนทางกับความเป็นจริงที่ว่า “เงินออม” เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในทุกช่วงของชีวิต...
จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รอบใหม่ซึ่งเริ่มต้นจากตลาดกุ้งในสมุทรสาครเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2563 จนกระทั่งนำมาสู่การล็อกดาวน์ชั่วคราวจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2563 ถึง 3 มกราคม 2564 ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ในหลายจังหวัดของประเทศไทย ในเบื้องต้นภายใต้กรณีที่ไม่พบคลัสเตอร์ของจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดอื่นหรือเหตุการณ์ไม่ลุกลามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยอาจได้รับความสูญเสียจากการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 คิดเป็นมูลค่าราวๆ 45,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน โดยจำแนกผลกระทบได้ดังนี้
1.ความสูญเสียที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าประมงและอาหารทะเล ที่อาจมีมูลค่ารวมกันราว 13,000 ล้านบาท จากความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการชะลอการบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในระยะสั้น นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวในระยะถัดไปก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้างโดยเฉพาะในด้านขั้นตอนการตรวจสอบและกระบวนการต่างๆ ที่คู่ค้าอาจหยิบยกให้ผู้ประกอบการไทยมีการดำเนินการเพิ่มเติม ถึงแม้ขณะนี้จะยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก็ตาม ทั้งนี้ สมุทรสาคร นับเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำ โดยปริมาณสัตว์น้ำสดที่ใช้ในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำเค็ม มีสัดส่วนเกือบ 40% ของทั้งประเทศ (ไม่รวมวัตถุดิบนำเข้า) การล็อกดาวน์ จึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิตหมวดนี้ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี การสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของสินค้าและกระบวนการผลิตโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คงจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวยังนับว่าอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด จากการที่ผู้บริโภคและผู้ใช้วัตถุดิบยังมีทางเลือกในการซื้อและจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น อีกทั้งมีประเภทอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ...
การทำลายเชิงสร้างสรรค์ (Creative destruction) คือการรื้อแนวทางปฏิบัติเดิมที่มีมายาวนานเพื่อหาหนทางไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ เป็นกระบวนการที่มีส่วนทำให้อายุเฉลี่ยของบริษัทที่ประสบความสำเร็จน้อยลงไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune ที่พบว่าปัจจุบันอายุเฉลี่ยของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 company มีอายุน้อยกว่า 20 ปี ซึ่งมีจำนวนที่ลดลงมากเมื่อเทียบบริษัทยุคก่อนจากผลสำรวจเมื่อปีในปี 1950 ที่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ปี
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการดิสรัปชั่นทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทำให้องค์กรต้องมองหารูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจแบบใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการลูกค้า ในขณะที่การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพนั้นทำได้ยาก ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ตาม แต่ความท้าทายที่เกิดจาก COVID-19 มีความซับซ้อนมากกว่านั้น นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ประกอบการโรงงานต้องเผชิญกับวิกฤติใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสนใจและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในอนาคต จากผลการสำรวจล่าสุดจัดทำโดย EY พบว่า มีผู้บริหารในอุตสาหกรรมห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพียง 10% เท่านั้นที่เตรียมพร้อมรับมือกับการดิสรัปชั่นที่เกิดจากการระบาดใหญ่นี้
ขณะนี้เราก้าวเข้าสู่ยุคแห่งประสบการณ์ (Age of Experience) ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อขยายขอบเขตการทำงานแบบดั้งเดิมไปสู่การสร้างเครือข่ายที่สามารถเพิ่มมูลค่าระดับโลกได้ โดยต้องใช้วิธีการทำงานและเฟรมเวิร์คสำหรับสายงานผลิตที่อัจริยะขึ้น และควรตั้งเป้าหมายองค์กรให้เป็นมากกว่าที่หนึ่งของอุตสาหกรรม แต่ต้องปรับทัพองค์กรและวิถีการทำงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น รวมทั้งดึงข้อมูลมาใช้เพื่อยกระดับการทำงานของแต่ละส่วนงานในองค์กรให้ทำงานสอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือที่เรารู้จักกันว่ากลยุทธ์ Data-Driven
Big...
จ๊อบไทย (JobThai) ผู้ให้บริการหางาน สมัครงาน ออนไลน์ อันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งให้บริการเป็นปีที่ 20 เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานในหลายด้าน ทั้งความต้องการแรงงาน ตลอดจนรูปแบบการทำงาน และการสัมภาษณ์งานที่เปลี่ยนไป สำหรับสถานการณ์ในตลาดแรงงานจากข้อมูลความต้องการแรงงานขององค์กรในจ๊อบไทยแพลตฟอร์ม พบว่า องค์กรมีความต้องการแรงงานในเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 รวมกันอยู่ที่ 346,357 อัตรา (เป็นการนับจำนวนอัตราแบบไม่ซ้ำกัน)
จ๊อบไทยยังเปิดเผยข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องโลกการทำงานที่เปลี่ยนไปในยุค Post COVID-19 Pandemic จากคนทำงานทั่วประเทศจำนวน 7,548 คน และสำรวจความคิดเห็นขององค์กรทั่วประเทศจำนวน 1,019 องค์กร พบว่า ในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์มีผู้ที่ได้ทำงานที่บ้านเพียง 34.1% และผู้ที่ไม่ได้ทำงานที่บ้าน 65.9% สำหรับผู้ที่ได้ทำงานที่บ้านระบุข้อดีของการทำงานที่บ้านว่า ทำให้เขามีโอกาสได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาการเมืองในองค์กรได้ มีช่วงเวลาในการทำงานนานขึ้นกว่าการทำงานในออฟฟิศ และยังสามารถจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานดีกว่าในออฟฟิศ
องค์กรยกเลิกสวัสดิการเหตุจากโควิด-19 และกว่า 77% เตรียมขึ้นเงินเดือนในปี 64
สำหรับองค์กรนั้นมีการปรับเปลี่ยนสวัสดิการหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมีการเพิ่มสวัสดิการให้พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ (Work From Home / Remote...
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน เผยผลสำรวจจาก Tech Research Asia (TRA) เกี่ยวกับเอดจ์คอมพิวติ้งในเอเชียแปซิฟิก รายงานที่เพิ่งปล่อยออกมาชิ้นนี้ จัดทำขึ้นโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ครอบคลุมถึงมุมมองเชิงลึกจากซีไอโอ 15 ราย และผู้นำด้านเทคโนโลยีจำนวน 1,100 รายจากอุตสาหกรรมหลากหลายในเอเชียแปซิฟิกในปัจจุบัน เกี่ยวกับสภาพไอที การใช้งานเอดจ์คอมพิวติ้งและความมุ่งหมาย รวมถึงคำชี้แนะสำหรับอนาคต รายงานดังกล่าวยังได้ชี้ถึงมุมมองเชิงลึกด้านเอดจ์คอมพิวติ้งในภาคอุตสาหกรรม 5 ประเภทในมิติที่ลึกลงไปอีก
“องค์กรจำนวนมากทั่วเอเชียแปซิฟิก จะได้รับประสบการณ์จากประโยชน์ของเอดจ์คอมพิวติ้งภายใน 5 ปีข้างหน้า” เทรเวอร์ คลาร์ก ผู้อำนวยการ TRA กล่าว “ในขณะที่ทุกคนกำลังใช้คำว่า “เอดจ์ (Edge)” แต่แน่นอนว่าองค์กรเหล่านี้ยังจำเป็นต้องมีไซต์เอดจ์ และศักยภาพต่างๆ เพื่อช่วยให้ประสบความสำเร็จ” เทรเวอร์ กล่าว
การสำรวจประกอบด้วยการวิจัยในแนวกว้างอย่างครอบคลุมและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ตอบสำรวจครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยผู้ตอบสำรวจมาจากประเทศต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์...
อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด ระบุว่าสี่ในสิบของจำนวนผู้ใช้มือถือในปี 2569 จะใช้ระบบเครือข่าย 5G เป็นหลัก จากปัจจุบันที่มีผู้สมัครใช้ 5G และเครือข่ายมีสัญญาณครอบคลุมมากขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าเทคโนโลยี 5G คือ ปัจจัยสำคัญเชื่อมต่ออุปกรณ์มือถือที่ให้ความรวดเร็วที่สุด ตามรายงานยังระบุว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้คนทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านรายอยู่ในพื้นที่ที่เครือข่าย 5G ครอบคลุม หรือคิดเป็น 15% ของจำนวนประชากรทั่วโลก และจะมีผู้ใช้ 5G ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 220 ล้านราย
ในปี 2569 คาดว่า 60% ของประชากรทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงระบบเครือข่าย 5G โดยมีผู้ใช้ 5G สูงถึง 3.5 พันล้านราย และมีปริมาณดาต้าอินเตอร์เน็ต 5G เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณดาต้าทั้งหมดในเวลานั้น สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย เทคโนโลยี 5G จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองรองจาก LTE โดยมียอดผู้ใช้งานกว่า 380 ล้านราย หรือคิดเป็น 32% ของจำนวนผู้ใช้มือถือทั้งหมด
นางนาดีน อัลเลน ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า 5G จะเพิ่มศักยภาพบริการดิจิทัลและการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น การสตรีมวิดีโอ สตรีมมิ่งกีฬา เกมบนมือถือและบริการสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะ เฉพาะ Augmented Reality (AR) เพียงอย่างเดียวก็มีแนวโน้มที่เป็นตัวสร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากสื่อต่าง ๆ ทั้งหมดของผู้ให้บริการเมื่อเทียบกับบริการอื่น ๆ เช่น เกมบนคลาวด์ คอนเทนท์แบบเสมือนจริงหรือ VR และบริการดิจิทัลในสถานที่ การเล่นเกมแบบ AR จะเป็นตัวขับเคลื่อนเริ่มต้นหลักให้กับ AR โดยที่การใช้งานแอปพลิเคชันอื่น ๆ สำหรับ AR เช่น การรับชมโทรทัศน์และวิดีโอ การใช้งานในบ้าน โรงเรียนและเพื่อการศึกษาจะตามมา
“ผู้บริโภคในประเทศไทยได้เริ่มสัมผัสกับประโยชน์เด่น ๆ ที่สำคัญของ 5G เป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกันอีริคสันประเทศไทยกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดของระบบนิเวศในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลของประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 และ 5G สำหรับผู้ใช้ระดับองค์กร ความสำเร็จของ 5G ในตลาดผู้บริโภคจะมีความสำคัญต่อผู้ให้บริการ เพราะจะสนับสนุนการขยายเครือข่ายเพื่อให้สามารถกำหนดเป้าหมายการใช้งานรูปแบบใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ ได้”
ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือในภาพรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในช่วงคาดการณ์มีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 33% และคาดว่าในปี 2569...
Opensignal เผยแพร่รายงานประสบการณ์การใช้เครือข่ายมือถือของประเทศไทย ประจำปี 2563 โดยพบว่าผู้ใช้งานชาวไทยยังได้รับประสบการณ์รับชมวิดีโอในระดับดี แม้คะแนนเฉลี่ยของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายจะลดลง
DTAC คว้ารางวัลประสบการณ์ความเร็วในการดาวน์โหลดติดต่อกันจากรายงานสองฉบับล่าสุด ทำลายสถิติหลังจากที่เคยเสมอคู่แข่ง TrueMove H ในรายงานครั้งก่อน โดยมีความเร็วนำหน้าเล็กน้อย เพิ่มจาก 0.7 Mbps (7.8%) เป็น 0.8 Mbps (8.6%) ซึ่งไม่ยากสำหรับคู่แข่งที่จะปรับปรุงพัฒนาประสบการณ์ความเร็วในการดาวน์โหลดและ/หรือเพิ่มความเร็วเครือข่าย 5G พร้อมกระตุ้นยอดผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ 5G ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
TrueMove H ยังคงรักษาตำแหน่งรางวัลด้านประสบการณ์ความเร็วในการอัปโหลด ตั้งแต่รายงานประจำเดือนพฤษภาคม ปี 2562 นำหน้า AIS ที่รั้งอันดับสองด้วยความเร็วที่ลดลง 0.2-1.3 Mbps แต่ยังอยู่ในสัดส่วนที่น่าพอใจเนื่องด้วยคะแนนใหม่ของ TrueMove H นั้นสูงกว่า AIS ถึง 24.5%
AIS จากรายงานครั้งก่อน AIS ได้คะแนนนำหน้าคู่แข่งเล็กน้อยในด้านประสบการณ์แอปพลิเคชั่นเสียงเพิ่มขึ้น 0.4-3.2 คะแนน (หรือคิดเป็น 4.3%) มากกว่าอันดับที่สองอย่าง DTAC ที่ได้ 74.1 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 ทำให้ตอนนี้ AIS ครองตำแหน่งเจ้าของรางวัลด้านประสบการณ์แอปพลิเคชั่นเสียงอย่างต่อเนื่องจากรายงาน 3 ฉบับ นับตั้งแต่มีการมอบรางวัลประเภทนี้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
สำหรับกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่เดียวที่ผู้ใช้บริการเครือข่าย AIS และ TrueMove H ได้รับประสบการณ์วิดีโอในระดับดีมาก ในขณะที่ AIS ได้คะแนนประสบการณ์เกมระดับดีในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วน TrueMove H และ DTAC ได้รับคะแนนในระดับปานกลาง ความแตกต่างด้านประสบการณ์แอปพลิเคชันเสียงของผู้ให้บริการทั้งสามรายในภูมิภาคนี้ค่อนข้างสูสี เนื่องจากผู้ใช้มีความพึงพอใจในประสบการณ์ระดับที่ยอมรับได้ซึ่งเป็นคะแนนที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดจากในทุกภูมิภาค